ปัจจุบันคนไทยมีการใช้คำว่า ห้าง, ห้างสรรพสินค้า และ ศูนย์การค้า ไม่ตรงตามความหมายที่ผู้พูดและผู้ฟังนึกถึง ทั้งกลุ่มคนทั่วไป และสื่อสารมวลชน ต่างก็มีการใช้ทั้ง 3 คำนี้สลับแทนกันไปมาโดยไม่รู้ตัว บรรดาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ก็พยายามจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการใช้คำเหล่านี้ให้ถูกต้อง แต่ก็ยังเกิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกันในการสื่อสารอยู่เรื่อยมา ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กที่สเกลใหญ่เอาเรื่อง บทความนี้ขออาสาเคลียร์ข้อสงสัยให้ในทุกแง่มุม
เล่าที่มาที่ไปของค้าปลีกสมัยใหม่ในไทย
การค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ในประเทศไทยที่ทุกคนคุ้นเคยกันมาจนถึงปัจจุบันก็คือ บรรดาร้านค้าในแต่ละชุมชน เมื่อโลกเปลี่ยนไป เศรษฐกิจเติบโต สังคมขยายตัว จึงเริ่มมีค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เกิดขึ้นมาในรูปแบบต่างๆ
Modern Trade ประเภทแรกๆ ที่เข้ามาในไทยก็คือ Department Store เป็นร้านค้าขนาดใหญ่ที่ภายในแบ่งเป็นแผนกต่างๆ โดยเจ้าของร้านจะนำสินค้ามาวางขายเอง หรือเปิดให้เจ้าของสินค้านำสินค้ามาวางฝากขายที่เคาท์เตอร์ในแผนกต่างๆ
Department Store ของไทยยุคแรกๆ ตั้งแต่ประมาณ 50 ปีที่แล้ว จะเป็นแบบ Stand-alone เกือบทั้งหมด คือเป็นตึกแถวขนาดใหญ่ หรืออาคารเดี่ยวที่ข้างในทั้งตึกมีหลายชั้น แต่ละชั้นจะเป็นแผนกต่างๆ ให้เดินได้ทั่วทั้งตึกเลือกซื้อสินค้าได้ทุกประเภทแบบไร้รอยต่อ Department Store แบบ Stand-alone จึงได้รับความนิยมมากในยุคนั้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ห้างไทยในตำนานที่คน Gen X ขึ้นไปทุกคนคุ้นชื่อกันอย่างดีทั้ง เซ็นทรัล โรบินสัน คาเธ่ย์ ไดมารู จัสโก้ พันธ์ทิพย์ ตั้งฮั่วเส็ง พาต้า บางลำพู เมอรี่คิงส์ ก็เกิดมาจากรูปแบบนี้ทั้งสิ้น
ในตอนนั้นก็มีการบัญญัติคำศัพท์ภาษาไทยใช้เรียก Department Store โดยราชบัณฑิตยสถานเลือกใช้คำว่า “ห้างสรรพสินค้า”
จากนั้นคำว่า “ห้างสรรพสินค้า” ก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายในสังคมไทย กลายเป็นคำที่อินเทรนด์ในยุคนั้น เป็นสถานที่ที่ทุกคนไปจับจ่ายซื้อของหลากหลายมากมาย โดยในความเข้าใจของทุกคนตั้งแต่ในยุคนั้น “ห้างสรรพสินค้า” คือสถานที่
ในขณะเดียวกันนั้นก็ Modern Trade อีกประเภทที่ตามเข้ามาในไทยหลังจากที่ Department Store ได้ปูทางความรุ่งเรืองของการค้าปลีกสมัยใหม่ไประยะหนึ่งแล้วก็คือ Plaza เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารจัดการพื้นที่ในอาคาร เปิดให้ธุรกิจร้านค้าต่างๆ มาเช่าพื้นที่ประกอบการ โดยต่างจาก Department Store ที่เป็นธุรกิจค้าปลีกโดยตรง
Plaza เป็นรูปแบบที่เป็นที่แพร่หลายอย่างรวดเร็วเพราะการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ SMEs ในไทยยุคนั้น ในช่วงเศรษฐกิจไทยกำลังโชติช่วงชัชวาลย์ ประมาณสิบปีก่อนต้มยำกุ้ง
ซึ่ง Plaza นั้นมักจะมาคู่กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีการรวมกิจการอื่นๆ อย่างเช่น โรงแรม สำนักงาน เรียกว่า Shopping Mall, Shopping Center หรือ Shopping Plaza โดย 3 คำนี้ แล้วแต่ว่าแต่ละเจ้าจะเลือกใช้คำไหน
- Shopping Mall จะให้ความหมายที่สื่อถึงการเป็นอาคารสถานที่ที่ผู้คนมาจับจ่ายอย่างชัดเจน เป็นคำศัพท์ที่นิยมใช้อย่างเป็นทางการมากที่สุดทั่วโลก
- Shopping Center จะให้ความหมายในเชิง Concept มากกว่าการสื่อถึงตัวอาคาร ทำให้รู้สึกถึงความเป็นอสังหาฯขนาดใหญ่
- Shopping Plaza จะให้ความหมายที่สื่อถึงการเป็นพื้นที่รวมร้านค้า มากกว่าจะระบุว่าเป็นอาคารหรือสถานที่ใด
ดังนั้นผู้พัฒนาอสังหาฯเพื่อการค้าปลีกรายใหญ่ในไทยจึงนิยมใช้คำว่า Shopping Center แทบทั้งหมด แม้คำว่า Shopping Mall จะมีความเป็นศัพท์ทางการมากกว่า
ราชบัณฑิตยสถานเจ้าเก่าก็เลยต้องรีบบัญญัติคำศัพท์ภาษาไทยอีกตามระเบียบ เนื่องจากคำว่า “ห้างสรรพสินค้า” ถูกกำหนดให้ใช้แทนคำว่า Department Store ไปแล้ว ต้องหาคำอื่นมาใช้เรียก Shopping Center ที่กำลังเกิดขึ้นมาใหม่มากมาย
ในที่สุดก็ได้มีคำว่า “ศูนย์การค้า” เกิดขึ้น เป็นภาษาไทยเพื่อใช้แทนคำว่า Shopping Center, Shopping Mall และ Shopping Plaza ได้ทั้งหมด
จุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจไทย สู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของห้างสรรพสินค้า
หลังจากที่ Plaza ขนาดใหญ่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในไทย และเริ่มแซง Department Store ไปสู่การเป็นภาพจำของสถานที่ที่ทุกคนไปจับจ่ายใช้สอยต่างๆ อันเนื่องมาจากโครงการ Shopping Center ขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วกรุงเทพฯทั้งในเมืองและตามชานเมืองรอบนอก และกระจายออกนอกกรุงเทพฯไปสู่หัวเมืองใหญ่ในจังหวัดต่างๆ
และเนื่องด้วยรูปแบบร้านค้าย่อยๆ ที่มีความหลากหลายมากๆ จึงตอบโจทย์พฤติกรรมการจับจ่ายของคนไทยที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วมากกว่ารูปแบบ Department Store ที่มีขอบเขตสินค้าอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของแต่ละแผนกอย่างตายตัว
เมื่อความนิยมต่อคนรุ่นใหม่ๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ Department Store รายใหญ่เองก็ได้เร่งปรับเปลี่ยนจากการเปิดเองในตึกตัวเองแบบ Stand-alone ไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งใน Shopping Center แบบที่เห็นกันในปัจจุบัน
และเมื่อเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540-41 ก็ยิ่งทำให้เจ้าของ Department Store หลายรายมีการล้มหายออกไปจากประเทศไทย ปัจจุบันนี้ในกรุงเทพฯแทบไม่เหลือ Department Store stand-alone แบบทั้งตึกอีกแล้ว นอกจากของ 2 เจ้าตลาด 4 สาขาที่ยังมีอยู่โดยมีการปรับเพิ่มส่วน Plaza และเป็นมิกซ์ยูสด้วยทั้งสิ้น
หลังจากนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน ที่ได้มีการพลิกสัดส่วน จากที่ในอดีตสถานที่ที่เราจะไปจับจ่ายเกือบทั้งหมดจะเป็น Department Store ทั้งตึกที่เราเรียกสถานที่นี้ว่า ห้างสรรพสินค้า มาสู่ยุคที่สถานที่ที่เราจะไปจับจ่ายเกือบทั้งหมดจะเป็น Shopping Center ทั้งตึก ที่อาจจะมี Department Store อยู่ข้างใน หรือไม่มีก็ได้
แต่เราก็ยังคงเรียกสถานที่ที่เราจะไปจับจ่ายทุกที่นั้นว่า ห้างสรรพสินค้า ด้วยความเคยชิน โดยที่ไม่ได้นึงถึงการมีอยู่ของพื้นที่ขนาดใหญ่หลายแผนกแบบ Department Store มาจนถึงทุกวันนี้ อันเป็นสาเหตุหลักของการที่คนไทยเรียก ศูนย์การค้า ว่า ห้างสรรพสินค้า
แล้วทำไมคนไทยเรียก “ห้างสรรพสินค้า” ไม่เรียก “ศูนย์การค้า”
คำว่า “ห้างสรรพสินค้า” ซึ่งเป็นการบัญญัติศัพท์แบบไม่ได้ตรงตามความหมายเป๊ะๆ เพื่อให้ได้คำไทยที่สละสลวย เพราะถ้าจะแปลเป็นไทยแบบตรงความหมายก็อาจจะต้องใช้คำว่า “ห้างสารพัดแผนก” หรือ “ห้างหลากแผนก”
แม้คำจะไม่ตรงตามความหมายของคำต้นฉบับ แต่ด้วยความหมายตามตัวอักษรของคำว่า “ห้างสรรพสินค้า” มันกว้าง ครอบคลุม เข้าใจง่ายในตัวมันเอง และด้วยความสละสลวยของคำนี้ กับการที่ขึ้นต้นด้วยเสียงวรรณยุกต์โท ทำให้กลายเป็นคำที่เราพูดติดปากได้ง่าย
ส่วนคำว่า “ศูนย์การค้า” เป็นการแปลแบบตรงตัว ที่ไม่ตรงความหมายอย่างแรง เป็นคำศัพท์ที่ดูเป็นทางการ ใช้ในราชการเป็นหลัก และความสละสลวยของคำ ก็สู้คำว่า “ห้างสรรพสินค้า” ไม่ได้เลย
คำว่า “ศูนย์” มาจากคำว่า Center คือศูนย์กลาง ศูนย์รวม แต่ตัดเหลือแค่คำว่า ศูนย์ ก็เลยไปพ้องรูปพ้องเสียงกับเลขศูนย์ 0 Zero ส่วนคำว่า “การค้า” มาจากคำว่า Shopping ซึ่ง Shopping มันคือ “การจับจ่าย” ที่ให้เซนส์ของการบริโภคในครัวเรือน ไม่ใช่การค้า คำว่า “การค้า” มันคือ Trading ที่ให้เซนส์ของธุรกิจเชิงพาณิชย์ค้าส่งค้าปลีก
ในโลกความเป็นจริง พวกศูนย์ทั้งหลายพวก ศูนย์บริการ ศูนย์ฝึกอบรม ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์พักพิง ฯลฯ มักจะไม่อยู่ถาวร อาจมีการย้ายเปลี่ยนที่ไปได้เรื่อยๆ ยิ่งคำว่า “ศูนย์การค้า” ยิ่งให้ความรู้สึกถึงความหมายที่กว้างมาก ดูไม่เป็นสถานที่ที่มั่นคงถาวร และบางทีก็ทำให้สับสนกับคำว่า “ศูนย์กลางทางการค้า” ที่มักจะได้ยินบ่อยๆ ในแวดวงเศรษฐกิจการเมือง
การสื่อสารในชีวิตประจำวันผู้คนต้องการเรียกสถานที่ที่เป็นการระบุถึงตัวสถานที่ในเชิงรูปธรรมมากกว่าเชิงนามธรรมหรือเชิงคอนเซ็ปต์ คำว่า ห้าง หรือ ห้างสรรพสินค้า จึงให้ความชัดเจน ตอบโจทย์มากกว่า ศูนย์ หรือ ศูนย์การค้า ที่ให้ความรู้สึกที่ไม่ชัดเจนในเชิงตำแหน่งอาคารที่ตั้ง
สรุปสั้นๆ สาเหตุว่าทำไมคนไทยเรียก “ห้างสรรพสินค้า” ไม่เรียก “ศูนย์การค้า”
- ไม่รู้ว่าคำว่า ห้างสรรพสินค้า เขาเอาไว้ใช้แทนคำว่า Department Store ไม่รู้ว่า Shopping Mall ที่เราเดินเข้าอยู่ทุกวันมันต้องเรียกว่า ศูนย์การค้า
- คำว่า ศูนย์การค้า มันไม่ติดปากให้เรียกได้ง่าย ยิ่งถ้าต้องเรียกแบบย่อว่า ศูนย์ฯ จะงงมากว่า ศูนย์อะไร ศูนย์บริการ หรือว่าสูญเปล่า
- คนรอบตัวส่วนใหญ่ไม่มีใครเรียก ศูนย์การค้า อยู่แล้ว ถ้าเรียกไปก็อาจสื่อสารกันคลาดเคลื่อน เรียกว่า ห้าง ไปเลย ดีกว่าทุกคนเข้าใจแน่นอน และคำว่าห้าง มันติดปาก เรียกง่าย เรียกห้างเฉยๆ คงไม่มีใครนึกถึงห้างทอง
แล้วคำว่า “ห้าง” กับ “ห้างสรรพสินค้า” ต่างกันมั้ย
คำว่า “ห้าง” เฉยๆ ก็มีความหมายในตัวเองอยู่แล้วตามพจนานุกรม หมายถึง ร้านขนาดใหญ่ สถานที่ประกอบธุรกิจ หรือสถานที่ที่มีหลายๆ ร้าน (เช่นคำว่า ห้างทอง ห้างค้าผ้า ห้างค้าส่ง) ซึ่งก็ตรงกับคำศัพท์ในภาษาอังกฤษว่า Mall ดังนั้นถ้าจะแปลคำว่า Shopping Mall ว่า ห้างสรรพสินค้า ก็ถือว่าเหมาะสมใช้ได้เลย ตรงความหมายมากกว่า
ถ้าจะแปลคำว่า Shopping Mall ให้ตรงตัวที่สุดก็ต้องใช้คำว่า ห้างจับจ่าย แต่ Shopping Mall ในไทยทุกวันนี้มันกลายเป็นมากกว่าสถานที่ให้แค่ไปจับจ่ายซื้อของแล้ว มันรวมทุกวิถีชีวิตเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดในโลก ดังนั้นคำว่า Shopping Mall เองอาจสื่อความหมายได้ไม่ครอบคลุมอีกต่อไป
คำศัพท์ที่ตรงกับสิ่งที่ห้างทุกวันนี้เป็นอยู่มากที่สุดก็คงจะเป็นคำว่า Lifestyle Mall แม้จะดูเป็นคำในเชิงคอนเซ็ปต์ แต่ก็มีความหมายครอบคลุมและตรงตัวที่สุด และมีบางเจ้าก็ใช้คำนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องหาคำแปลอื่นมาต่อท้ายคำว่าห้างอย่าง ห้างวิถีชีวิต ห้าง แค่คำว่า “ห้าง” คำเดียวก็เพียงพอในการเรียกได้ง่าย สั้น ครอบคลุมความหมาย และแพร่หลายมายาวนาน
คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ความหมายเดี่ยวๆ ของคำว่า “ห้าง” ว่ามันหมายถึง สถานที่ที่คุณไปซื้อของอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ห้าง คือคำย่อของคำว่า ห้างสรรพสินค้า หรือคำว่า ห้างสรรพสินค้า เป็นคำแบบทางการของคำว่า ห้าง เพราะคุ้นหูคำว่า ห้างสรรพสินค้า ผ่านสื่อต่างๆ ที่พูดคำว่าห้างสรรพสินค้า ในบริบทที่เป็นทางการ
เช่นเดียวกับคำว่า “โรงหนัง” คือคำย่อ หรือคำแบบไม่เป็นทางการของคำว่า “โรงภาพยนตร์” ที่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ใช้สองคำนี้สลับกันไปในบทสนทนาตามบริบทได้อย่างราบรื่น
การที่คนไทยเรียกสถานที่ที่เข้าไปจับจ่ายหลายสิ่งว่า “ห้าง” เฉยๆ ก็ถูกต้องตามความหมายที่แท้จริงอยู่แล้ว แต่การที่ถูกบางคนบอกว่าผิด! ต้องเรียกว่า “ศูนย์การค้า” สิ จึงเป็นเรื่องที่ไม่เมคเซนส์เอามากๆ แม้ว่ามันจะถูกต้องตามราชบัณฑิตยสถานก็ตาม
การสื่อสารที่สวนทางกันในปัจจุบัน
คนไทยจะเรียก Shopping Mall ว่าห้าง ส่วนเจ้าของ Shopping Mall ก็จะเรียกตัวเองว่า ศูนย์การค้า เหมือนคุยกันคนละภาษา แต่ก็เป็นที่เข้าใจตรงกันได้ว่าหมายถึงสิ่งเดียวกัน แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง อาจมีแค่บางคนที่สังเกตสิ่งนี้และเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
ตอนนี้ยังไม่มีเจ้าของ Shopping Mall รายไหนเลยไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ที่เรียกตัวเองว่าห้างเหมือนลูกค้า ทุกเจ้ายึดมั่นในการเรียกให้ถูกต้องตามราชบัณฑิตยสถาน Shopping Mall, Shopping Center ต้องเรียกว่า ศูนย์การค้า ให้ถูกต้อง แม้อาจไม่ถูกใจ
ในขณะที่คนไทยรุ่นใหม่เกิดมาก็ไม่ทันเห็น Department Store แบบดั้งเดิมทั้งตึก และโตมาในยุคที่ตึกใหญ่ๆ ข้างในมีทุกอย่าง อย่าง Shopping Mall มีอยู่เต็มเมือง หลากหลายขนาด หลากหลายรูปแบบ และทุกคนรอบตัวก็เรียกสิ่งนี้ว่า ห้างสรรพสินค้า แม้เดินเข้าไปข้างในเขาจะเขียนว่า “ขอต้อนรับเข้าสู่ ศูนย์การค้า…” ก็คงจะเดาว่าคำนี้หมายถึงเจ้าของเขาแค่เขียนยกย่องตัวเองว่าเป็นศูนย์(กลาง)การค้า
อยากเล่าว่า ถ้าเราได้เข้าไปทำงานในองค์กรธุรกิจ Shopping Mall เขาจะพยายามสอนพนักงานใหม่ให้เรียกตัวเองว่าศูนย์การค้าให้ได้ ไปกินข้าวกันในศูนย์ ไปเจอกันที่ศูนย์ นัดคุยงานที่ศูนย์ ประชุมกับลูกค้าที่ศูนย์ ฯลฯ แต่สุดท้าย ทุกคนก็จะหลุด กลับมาเรียกห้าง ตามความเคยชินอยู่ดี 555 พิมพ์คุยอาจจะพอได้ แต่เวลาคุยกันมีแต่คำว่าศูนย์มันฟังตลกมากๆ บางทีก็งงว่าหมายถึงศูนย์อะไรกันแน่ แต่พอเรียกว่าห้าง ทุกคนเข้าใจทันที
และอีกกรณีคือมีสื่อบางรายยังเข้าใจผิด ว่าห้างสรรพสินค้าคือ Shopping Mall ขนาดเล็ก ศูนย์การค้า คือ Shopping Mall ขนาดใหญ่หรือเป็นมิกซ์ยูส ซึ่งคนที่เข้าใจผิดแบบนี้ก็น่าจะเป็นคน Gen Y ลงมาที่เกิดไม่ทันยุคที่ตึก Department Store stand-alone เต็มเมือง
“ห้างสรรพสินค้า” คำที่พูดออกไปแล้วอาจเข้าใจไม่ตรงกัน
ห้างสรรพสินค้าคือคำที่นิยมใช้กันมากที่สุด แต่มีความสับสนที่สุด ผู้พูดอาจจะหมายถึงสถานที่จะไปกินข้าว ซื้อของ ดูหนัง ทำผม แต่ผู้ฟังที่เป็นคนทำงานในแวดวงค้าปลีกอาจจะนึกถึง Department Store ที่เป็นแผนกต่างๆ
เวลาที่ Department Store โปรโมทตัวเองโดยใช้คำว่าห้างสรรพสินค้า หลายครั้งที่ผู้ฟังเข้าใจว่าเป็นทั้งตึกนั้น ใครจะไปคิดว่าหมายถึงแค่โซนใหญ่ที่มีหลายชั้นในตึกนั้น อย่างเช่น พบกันที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว คนไทยส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าหมายถึงสถานที่เซ็นทรัลลาดพร้าวทั้งตึกที่เป็น Shopping Mall แม้จะพูดเต็มๆ ว่าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ก็ไม่ต่างกัน น้อยคนนักที่จะรู้ว่าผู้พูดที่เป็นคนทำงานในนั้นจะหมายถึงแค่ส่วน Department Store
ทั้งๆ ที่จริงแล้วคำว่า ห้างสรรพสินค้า เป็นคำที่มีความหมายตรง กว้าง ครอบคลุม ครบทั้งในเชิงคอนเซ็ปต์และสถานที่ เป็นคำที่ภาษาสละสลวย และมีการเรียกคำนี้มาอย่างยาวนานที่สุดจนติดปากติดหูคนไทยไปแล้ว แม้ทุกวันนี้จะเป็นคำที่ถูกสื่อความหมายคลาดเคลื่อนออกไปจากความหมายดั้งเดิมที่ใช้แทน Department Store แต่ก็เป็นคำที่น่าจะมีการปฏิรูปความหมายใหม่
เพราะว่า Department Store เป็นสถานที่ค้าปลีกรูปแบบแรกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอดีต ตามที่ได้เล่ามาข้างต้น ทำให้ได้สิทธิ์ในการบัญญัติคำศัพท์ภาษาไทยก่อน เป็นคำที่ดีอย่าง ห้างสรรพสินค้า ซึ่งน่าเสียดายที่คำนี้จะต้องหมายถึงแค่ Department Store ให้ถูกต้องตามพจนานุกรม
การที่คนไทยส่วนใหญ่เรียกห้างสรรพสินค้า ในบริบทความหมายของ Shopping Mall ในปัจจุบันอย่างเป็นธรรมชาติ ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า คำว่าห้างสรรพสินค้า เหมาะที่จะใช้สื่อถึงสถานที่ที่มีทุกอย่างในตึกโดยตรงตามคอมมอนเซนส์ของคนทั่วไป ไม่ใช่ถูกจำกัดเอาไว้ใช้หมายถึงแต่ Department Store ที่ปัจจุบันมีน้อยกว่ามาก และเกือบทั้งหมดก็อยู่ภายใต้ Shopping Mall โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้นึกถึงเป็นลำดับแรก
ส่วน Department Store เองก็ควรใช้ทับศัพท์ไปเลย โดยทุกวันนี้ทั้งลูกค้าและคนที่ทำงานในแวดวงค้าปลีกเองก็ใช้คำว่า ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ทับศัพท์กันอยู่แล้วในการสื่อสารภายในอย่างไม่เป็นทางการ ไม่เรียกว่าห้างสรรพสินค้าเพื่อลดความสับสน ไม่ให้ไปนึกถึงทั้งตึกอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ
บทสรุปของเรื่องนี้คือ…
เรื่องความสับสนทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราใช้ทับศัพท์กันตั้งแต่แรก ทำไมจะต้องมีการคิดศัพท์ภาษาไทยสำหรับคำว่า ห้างสรรพสินค้า (Department Store) และศูนย์การค้า (Shopping Mall) ในยุคนั้น คำแรกแม้ความหมายไม่ตรง แต่เสียงพูดกับความสวยของคำมันได้อยู่ คนก็เลยใช้ แต่คำหลังนี่ ความหมายไม่ตรง คำก็ไม่สละสลวย คนทั่วไปก็เลยไม่ใช้ และไม่จดจำคำนี้เลยด้วยซ้ำ
ทำไมศัพท์ค้าปลีกใหม่ๆ ไม่เห็นจะต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่เป็นภาษาไทย อย่างเช่น Supermarket, Hypermarket, Community Mall, Mix Use, Discount Store ก็ไม่มีศัพท์ภาษาไทย
ก็คงเป็นเพราะคนในยุคนั้นอาจยังไม่ถนัดที่จะเรียกคำทับศัพท์ในชีวิตประจำวัน ต่างจากสมัยนี้ ถ้าคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์แพร่หลายในไทยตั้งแต่ยุค 70 ทุกวันนี้คงมีคนเรียกว่าเครื่องคณิตกร ที่บรรจุละมุนภัณฑ์ สามารถใช้เก็บเหรียญธุลี (บิทคอยน์)
สรุป การที่ต่างฝ่ายต่างเรียกคำที่ตนเข้าใจ แต่ยังสามารถสื่อสารกันได้ถูกต้อง ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร อาจจะแค่รู้สึกแปลกๆ หรือรำคาญใจ ในมุมของการสื่อสารมันก็เป็นประเด็นที่อาจทำให้เกิดความสับสนในการสื่อสารที่ไม่คงที่ ได้โดยเฉพาะกับคนต่างภาษาที่จะสังเกตสิ่งนี้และงงกับมัน
แต่ในยุคนี้เรายังจำเป็นจะต้องอนุรักษ์กฏเดิมๆที่ล้าสมัยและไม่มีใครใช้อยู่จริงหรือ ภาษาเป็นสิ่งที่ปรับเปลี่ยนได้เสมอตามกาลเวลา ทุกภาษาบนโลก คำที่ไม่เป็นที่นิยมจะถูกเลิกใช้หรือเปลี่ยนความหมายไปตามยุคสมัยเป็นเรื่องปกติ หากผู้มีอำนาจในการกำหนดกฏเกณฑ์เป็นผู้ริเริ่มการปรับเปลี่ยนคำศัพท์ที่ใช้มายาวนานให้สอดคล้องกับสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจในปัจจุบันได้ จะถือว่าเป็นผู้ที่มี Empathy สูงส่งและมีสิ่งที่เรียกว่า Customer Centric อย่างแท้จริง เหมือนอย่างกรณีที่ท่านยอมตัดชื่อยาวๆ ออกให้เราได้เรียกกันสะดวกขึ้นอย่างถูกต้อง
สรุปในสรุป มุมมองของผู้เขียน
ผมอยากให้เลิกใช้คำว่า“ศูนย์การค้า”ไปเลย เพราะคำนี้คนทั่วไปไม่เรียกกันในชีวิตประจำวัน เคยได้ยินเหรอครับ เจอกันที่ศูนย์นะ นัดกินข้าวกันในศูนย์ ไปดูหนังกันที่ศูนย์นะ เดี๋ยวต้องไปเรียกพิเศษในศูนย์แถวบ้าน ผมไม่เคยได้ยินจริงๆ ขนาดตอนที่ทำงานออฟฟิศในศูนย์การค้า ทุกคนยังเรียกห้างกันหมด เดี๋ยวลงไปกินข้าวเที่ยงกันที่ฟู้ดคอร์ทในห้าง…
แม้หลายสื่อจะพยายามใช้คำนี้ในคอนเทนท์ต่างๆ เพราะเจ้าของห้างพยายามบรีฟให้ใช้คำนี้ แต่สุดท้ายก็พูดว่าคำว่า “ห้าง” กับ “ห้างสรรพสินค้า” อยู่ดี ในบริบทความหมายเดียวกัน ผลก็คือใช้ 3 คำนี้สลับกันไปมาฟังแล้วรู้สึกไม่สมูธและสับสนว่าหมายถึงที่เดียวกันหรือเปล่า
Shopping Mall = ห้างสรรพสินค้า คนเรียกห้างเป็นคำย่อ เรียกห้างสรรพสินค้าเป็นคำเต็ม ไม่มีปัญหา แม้ความหมายที่ตรงมากที่สุดก็คือ ห้าง เฉยๆ เพราะห้างทุกวันนี้มันมีมากกว่าสรรพสินค้าแล้ว มันคือสรรพอาหาร สรรพบริการ สรรพกิจกรรม สรรพไลฟ์สไตล์ทุกอย่างอยู่ในที่เดียวกัน
Department Store = ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ เป็นคำที่ไม่ยากเกินไปในการใช้เรียกทับศัพท์ และทุกวันนี้คนไทยที่เป็นลูกค้าเขาก็เรียกว่าดีพาร์ทฯ กันอยู่แล้ว แต่เมื่อพนักงานดีพาร์ทฯเรียกตัวเองว่าห้างสรรพสินค้า ลูกค้าดีพาร์ทฯจะเริ่มงง
ขอบคุณทุกท่านมากครับที่อ่านมาจนจบ ที่ไล่เรียงอธิบายมาทั้งหมด ก็หวังว่าอยากให้เกิดความเข้าใจกันมากขึ้น เผื่อจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนของสื่อต่างๆ ที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น หากมีข้อสงสัยประการใดก็มาคอมเมนต์กันไว้ได้นะครับ หรืออยากจะแลกเปลี่ยนมุมมอง เห็นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างไร อยากเสริมในประเด็นไหนก็ยินดีครับ
Leave a Reply